ตำรวจสืบสวนเมืองบุรีรัมย์ ร่วมตำรวจทางหลวงบุรีรัมย์รวบ 2 ผัวเมียอดีตเซลล์แมนขายตู้เติมเงินออนไลน์ที่ถูกไล่อกจากงาน ตระเวนเดินสายทั่วภาคเหนือ อีสาน กลาง อ้างเป็นผู้จัดการระดับภาค หลอกขายตู้เติมเงิน มีลูกค้าหลงกลเชื่อ 60 รายรวมมูลค่าความเสียหายนับล้านบาท ยึดของกลางตู้เติมเงินพร้อมอุปกรณ์ส่วนควบอีกเพียบ ขณะกำลังเดินสายหลอกลูกค้า
วันที่ 8 ก.ย.65 พ.ต.ท.ณัติรุจน์ วัฒนะฉัตรรัตน์ สว.ส.ทล.2 กก.6 บก.ทล. พ.ต.ต.อภิญญา ภัณฑะประทีป สว.สส.สภ.เมืองบุรีรัมย์ ร.ต.อ.กัมพล อารีล้น รอง สว.ส.ทล.2 กก.6 บก.ทล. พร้อมกำลังตำรวจทางหลวงบุรีรัมย์ ส.ทล.2 กก.6 บก.ทล.และตำรวจชุดสืบสวน สภ.เมืองบุรีรัมย์ จับกุมตัวนายปฎิภาณ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 45 ปี อยู่หมู่ 12 ต.ตาจง อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ กับ น.ส.กัญญ์ภิญญา (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 46 ปี อยู่แขวงสามวาตะวันออก เขตคลองสามวา กรุงเทพฯ 2 สามีภรรยาซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดบุรีรัมย์ในข้อหาร่วมกันปลอมเอกสาร ใช้เอกสารปลอม ฉ้อโกง ลักทรัพย์ ทำให้เสียทรัพย์ พร้อมของกลางตู้เติมเงินของ บริษัท สบายเทคโนโลยีจำกัด หรือตู้เติมเงินเติมสบายพลัส
โดยเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้ทำการจับกุมตัว น.ส.กัญญ์ภิญญา ได้ขณะพักอาศัยอยู่ภายในห้องเช่าหลังหนึ่งในเขต อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ จากการสอบถามทราบว่านายปฎิภาณ แฟนหนุ่มของ น.ส.กัญญ์ภิญญา กำลังนำตู้เติมเงินออกตระเวนหาลูกค้าในพื้นที่ อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ ตำรวจชุดจับกุมจึงได้ออกติดตามจับกุมตัว นายปฎิภาณ ได้ที่บริเวณหน้าตู้ยามตำรวจทางหลวงนางรอง อ.นางรอง พร้อมของกลางตู้เติมเงินจำนวน 5 ตู้ อุปกรณ์ส่วนควบมีทั้งขาตั้งตู้เติมเงินจำนวน 2 อัน แท็บเล็ต 24 เครื่อง เครื่องนับเหรียญ 9 เครื่อง และเครื่องนับธนบัตรอีก 7 เครื่อง ซึ่งทั้งหมดซุกซ่อนอยู่ในรถยนต์เก๋งยี่ห้อ นิสสัน สีดำ ที่นายปฎิภาณ เป็นผู้ขับขี่จึงทำการตรวจยึดของกลางทั้งหมด ก่อนนำตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย พร้อมของกลางทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองบุรีรัมย์ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นเดือน มิ.ย.65 บริษัท สบายเทคโนโลยีจำกัด หรือตู้เติมเงินเติมสบายพลัส ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ไว้กับ ร.ต.อ.พิทักษ์ สิงห์คำ พงส.สภ.เมืองบุรีรัมย์ และยังได้ไปแจ้งความไว้อีกหลายสถานีตำรวจในหลายจังหวัดว่าได้ถูกนายปฎิภาณ กับ น.ส.กัญญ์ภิญญา สองสามีภรรยา ซึ่งเคยเป็นพนักงานฝ่ายขายของบริษัท และได้ให้ถูกออกจากงานเมื่อช่วงเดือน ต.ค.64 ได้ทำการร่วมกันปลอมแปลงเอกสาร และใช้เอกสารปลอมเพื่อฉ้อโกงและลักทรัพย์บริษัท เพื่อหลอกลวงลูกค้าที่ได้ทำการติดตั้งตู้เติมเงินออนไลน์ รวมมีลูกค้าซึ่งได้ทำสัญญาซื้อขายและเช่าซื้อตู้เติมเงินออนไลน์กับทางบริษัทฯ ที่ถูกนายปฎิภาณ กับ น.ส.กัญญ์ภิญญา 2 สามีภรรยา อดีตเซลแมนแสบคู่นี้หลอกขายตู้เติมเงินออนไลน์มากกว่า 60 ตู้ เหตุเกิดในหลายจังหวัด
หลังจากนั้น ตำรวจชุดสืบสวน สภ.เมืองบุรีรัมย์ ได้เข้าทำการตรวจสอบยังห้องเช่าที่ทั้งคู่เช้าพักอาศัย พบตู้เติมเงินออนไลน์ของบริษัทฯจำนวน 11 ตู้ พร้อมอุปกรณ์ส่วนควบอีกจำนวนหนึ่ง ซุกซ่อนอยู่ภายในห้องพัก ส่วนนายปฎิภาณ กับ น.ส.กัญญ์ภิญญา ได้หลบหนีไปก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งตู้เติมเงินออนไลน์ที่ตรวจยึดได้ทั้ง 11 ตู้ ขณะนั้นเป็นตู้เติมเงินที่อยู่ในเขตพื้นที่บริการของ จ.บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ นครราชสีมา นครสวรรค์ ร้อยเอ็ด และ จ.พิษณุโลก ที่นายปฎิภาณ กับ น.ส.กัญญ์ภิญญา 2 สามีภรรยาได้เตรียมไว้นำไปหลอกขายและติดตั้งให้กับลูกค้ารายอื่น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นร้านค้าของชำตามหมู่บ้าน หรือหอพักต่างๆ ที่มีผู้คนพลุกพล่าน
โดยนายปฎิภาณ กับ น.ส.กัญญ์ภิญญา 2 สามีภรรยา จะไปแอบอ้างกับลูกค้าว่า ตนเองยังเป็นพนักงานของบริษัทฯ ตำแหน่งผู้จัดการ ระดับภาคอีสาน ทำทีสอบถามลูกค้าปัญหาและอุปสรรคต่างๆ และเข้าไปติดต่อชาวบ้านที่สนใจทำธุรกิจมีตู้เติมเงินไว้บริการ โดยใช้อุบายว่าตัวเองนำตู้มาเสนอขายให้ ลูกค้าลงเชื่อก็จะเรียกเก็บเงินก่อน และเอาตู้ที่ได้ทำการถอดออกจากลูกค้ารายเก่ามาให้ โดยบอกว่าเป็นตู้ใหม่ พร้อมกับทำเอกสารปลอมขึ้นมา ให้ทำการเช่าซื้อก่อนเก็บเงิน ในบางรายทำสัญญาเก็บเงินแล้วก็ไม่ได้รับตู้ไปติดตั้งให้ บางรายก็ได้นำตู้ไปติดตั้งให้
โดยตู้ที่นำไปติดตั้งดังกล่าว เป็นตู้เติมเงินที่หลอกมาจากลูกค้าเดิมอีกที ที่ต้องการจะยกเลิกการใช้ตู้เติมเงินออนไลน์ ก็จะออกอุบายว่าถ้าจะยกเลิกจะต้องเสียเงินค่าดำเนินการ และเสียเงินค่าซื้อตู้คืนให้กับทางบริษัทเป็นเงิน 1-2 หมื่นกว่าบาท แต่ถ้าจะยกเลิกกับตนเองจะเสียเพียง 5,000 บาท ถูกกว่าทางบริษัทฯ พร้อมทำเอกสารสัญญาปลอมขึ้นมาให้ลูกค้าลงชื่อด้วย ก่อนจะถอดตู้เติมเงินออกแล้วนำตู้เติมเงินที่ถอดออก ไปหลอกขายลูกค้ารายใหม่ ซึ่งกว่าที่ลูกค้าจะรู้ตัวว่าถูกหลอกก็มารู้ ตอนที่เครื่องมีปัญหาขัดข้อง หรือเงินในระบบหมดหรือไม่สามารถเติมเงินเข้าในระบบได้
โดยนายปฎิภาณ กับ น.ส.กัญญ์ภิญญา ได้ก่อเหตุในลักษณะดังกล่าวมาแล้วในหลายพื้นที่ ทั้งในพื้นที่ภาคเหนือ อีสาน และภาคกลาง ความเสียหายที่เกิดขึ้น คิดเป็นมูลค่าความเสียหายหลายล้านบาท ซึ่งขณะนี้มีลูกค้าซึ่งเป็นผู้เสียหายในหลายพื้นที่ กำลังไปแจ้งความดำเนินคดีเพิ่มเติมอีกด้วย